Sleep Tips
5 สัญญาณ ถึงเวลาเปลี่่ยนที่่นอนใหม่
จำได้ไหมคะว่าครั้งสุดท้ายที่คุณเปลี่ยนที่นอนคือเมื่อไร? หลายคนอาจเข้าใจว่าถ้าที่นอนยังไม่หักพังก็ยังไม่ต้องเปลี่ยน จริง ๆ แล้วชั้นวัสดุที่ทำหน้าที่ให้ความสบายก็สามารถเสื่อมสภาพได้และส่งผลกระทบต่อความสบายในการนอน ซีลี่มีเคล็ดลับช่วยสังเกตว่าที่นอนเราควรจะเปลี่ยนใหม่ได้หรือยังมาฝากค่ะ
1. 8 ปีผ่านไป ยังไม่เคยเปลี่ยนที่นอน
อายุการใช้งานของที่นอนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 8-10 ปี หลังจากนั้นแล้วประสิทธิภาพในการทำงานของชั้นวัสดุอาจลดลง ทำให้รองรับและมอบความสบายได้ไม่ดีเท่าเดิมค่ะ
2. ตื่นมารู้สึกเหนื่อย เหมือนไม่ได้นอน
หากเริ่มรู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย ไม่สดชื่นเวลาตื่นทั้ง ๆ ที่ไม่ได้นอนน้อย อาจเป็นสัญญาณว่าที่นอนเริ่มเสื่อมสภาพ ทำให้พักผ่อนได้ไม่เต็มที่แม้จะใช้เวลานอนเยอะ ควรเริ่มมองหาที่นอนหลังใหม่ได้แล้วค่ะ
3. โซฟาสบายกว่าที่นอน
เพราะที่นอนควรให้ความสบายยามหลับมากกว่าโซฟา ถ้าเมื่อไรที่เริ่มรู้สึกว่านอนโซฟาแล้วสบายกว่าเมื่อเทียบกับที่นอน อาจแปลว่าที่นอนหมดอายุการใช้งาน ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้วก็ได้นะคะ
4. ยุบแล้วยุบเลย
หากที่นอนยุบตัวเป็นรอย ไม่คืนสภาพเดิม หรือผิวหน้าเริ่มเปื่อยหรือขาด ก็เป็นอีกสัญญาณหนึ่งว่าที่นอนเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว การใช้ที่นอนที่สามารถพลิกกลับด้านได้เป็นหนึ่งในวิธีช่วยยืดอายุการใช้งาน อย่างไรก็ตาม เมื่อสภาพที่นอนเริ่มเป็นแบบนั้นแล้ว อาจแปลว่าชั้นวัสดุเริ่มหมดอายุการใช้งานค่ะ
5. สภาพโดยรวมไม่เหมือนเดิม
ยังมีข้อสังเกตอื่น ๆ เช่น มีเสียงดังผิดปกติเมื่อขยับตัว จับแล้วรู้สึกถึงขดลวดที่อยู่ในชั้นรองรับ ผิวที่นอนเป็นตะปุ่มตะป่ำไม่เรียบเนียน สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณว่าสภาพที่นอนเริ่มทรุดโทรม ควรเปลี่ยนที่นอนใหม่ได้แล้วค่ะ
1. 8 ปีผ่านไป ยังไม่เคยเปลี่ยนที่นอน
อายุการใช้งานของที่นอนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 8-10 ปี หลังจากนั้นแล้วประสิทธิภาพในการทำงานของชั้นวัสดุอาจลดลง ทำให้รองรับและมอบความสบายได้ไม่ดีเท่าเดิมค่ะ
2. ตื่นมารู้สึกเหนื่อย เหมือนไม่ได้นอน
หากเริ่มรู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย ไม่สดชื่นเวลาตื่นทั้ง ๆ ที่ไม่ได้นอนน้อย อาจเป็นสัญญาณว่าที่นอนเริ่มเสื่อมสภาพ ทำให้พักผ่อนได้ไม่เต็มที่แม้จะใช้เวลานอนเยอะ ควรเริ่มมองหาที่นอนหลังใหม่ได้แล้วค่ะ
3. โซฟาสบายกว่าที่นอน
เพราะที่นอนควรให้ความสบายยามหลับมากกว่าโซฟา ถ้าเมื่อไรที่เริ่มรู้สึกว่านอนโซฟาแล้วสบายกว่าเมื่อเทียบกับที่นอน อาจแปลว่าที่นอนหมดอายุการใช้งาน ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้วก็ได้นะคะ
4. ยุบแล้วยุบเลย
หากที่นอนยุบตัวเป็นรอย ไม่คืนสภาพเดิม หรือผิวหน้าเริ่มเปื่อยหรือขาด ก็เป็นอีกสัญญาณหนึ่งว่าที่นอนเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว การใช้ที่นอนที่สามารถพลิกกลับด้านได้เป็นหนึ่งในวิธีช่วยยืดอายุการใช้งาน อย่างไรก็ตาม เมื่อสภาพที่นอนเริ่มเป็นแบบนั้นแล้ว อาจแปลว่าชั้นวัสดุเริ่มหมดอายุการใช้งานค่ะ
5. สภาพโดยรวมไม่เหมือนเดิม
ยังมีข้อสังเกตอื่น ๆ เช่น มีเสียงดังผิดปกติเมื่อขยับตัว จับแล้วรู้สึกถึงขดลวดที่อยู่ในชั้นรองรับ ผิวที่นอนเป็นตะปุ่มตะป่ำไม่เรียบเนียน สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณว่าสภาพที่นอนเริ่มทรุดโทรม ควรเปลี่ยนที่นอนใหม่ได้แล้วค่ะ
5 วิธีง่ายๆ คลายสายตาก่อนนอน
อากาศร้อนในไทย นอกจากจะทำให้ใครหลายคนรู้สึกไม่สบายตัวแล้ว ยังส่งผลให้ดวงตาเราทำงานหนักขึ้นทั้งอุณหภูมิอันร้อนระอุและรังสี UV จากแสงแดด วันนี้ซีลี่จึงมีวิธีที่จะช่วยให้ดวงตาเราเย็นสบายขึ้นก่อนนอน เพื่อให้หลับสนิทและพักผ่อนได้เต็มที่มาฝากค่ะ
1. หลังจากผ่อนคลายด้วยการดื่มชา ใบชายังมีประโยชน์ช่วยคืนความสดชื่นให้ดวงตาได้ เพียงแค่นำถุงชาใช้แล้วพักไว้ให้เย็นลงก่อนนำไปใส่ไว้ในตู้เย็นช่องแช่แข็ง เมื่อรู้สึกเหนื่อยล้าจากการทำงานและแสงแดดมาตลอดวันก็สามารถนำมาประคบบนดวงตาได้
2. เพียงใช้น้ำสกัดดอกกุหลาบ 1 ช้อนโต๊ะ ใบมินต์หั่นหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 1 แก้ว ผสมให้เข้ากันแล้วนำไปเทใส่พิมพ์น้ำแข็งแช่ช่องฟรีซให้แข็งตัวดี สามารถนำออกมาประคบเบา ๆ ที่ดวงตาให้ผ่อนคลายก่อนนอนได้
3. เพราะไขมันในนมช่วยให้ดวงตาที่เหนื่อยล้ารู้สึกสบายขึ้นได้ และยังมีโปรตีน กรดอะมิโน กรดแลกติก และวิตามิน A และ D ที่สามารถช่วยลดอาการบวม เพียงใช้ผ้าขนหนูสะอาดชุบนมสดแช่เย็นและวางพักไว้บนตาจน ทำซ้ำได้เมื่อผ้าหายเย็นจนกว่าจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้น
4. ผักสามัญประจำบ้านที่เชื่อว่าสาว ๆ หลายคนต้องเคยนำมาฝานบาง ๆ วางไว้บนดวงตาเวลามาส์กบำรุงหน้าอยู่แล้ว เพราะนอกจากจะมีฤทธิ์ช่วยลดอาการบวม ยังมีส่วนช่วยให้ขอบตาหายคล้ำจากการพักผ่อนไม่เพียงพออีกด้วย
1. หลังจากผ่อนคลายด้วยการดื่มชา ใบชายังมีประโยชน์ช่วยคืนความสดชื่นให้ดวงตาได้ เพียงแค่นำถุงชาใช้แล้วพักไว้ให้เย็นลงก่อนนำไปใส่ไว้ในตู้เย็นช่องแช่แข็ง เมื่อรู้สึกเหนื่อยล้าจากการทำงานและแสงแดดมาตลอดวันก็สามารถนำมาประคบบนดวงตาได้
2. เพียงใช้น้ำสกัดดอกกุหลาบ 1 ช้อนโต๊ะ ใบมินต์หั่นหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 1 แก้ว ผสมให้เข้ากันแล้วนำไปเทใส่พิมพ์น้ำแข็งแช่ช่องฟรีซให้แข็งตัวดี สามารถนำออกมาประคบเบา ๆ ที่ดวงตาให้ผ่อนคลายก่อนนอนได้
3. เพราะไขมันในนมช่วยให้ดวงตาที่เหนื่อยล้ารู้สึกสบายขึ้นได้ และยังมีโปรตีน กรดอะมิโน กรดแลกติก และวิตามิน A และ D ที่สามารถช่วยลดอาการบวม เพียงใช้ผ้าขนหนูสะอาดชุบนมสดแช่เย็นและวางพักไว้บนตาจน ทำซ้ำได้เมื่อผ้าหายเย็นจนกว่าจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้น
4. ผักสามัญประจำบ้านที่เชื่อว่าสาว ๆ หลายคนต้องเคยนำมาฝานบาง ๆ วางไว้บนดวงตาเวลามาส์กบำรุงหน้าอยู่แล้ว เพราะนอกจากจะมีฤทธิ์ช่วยลดอาการบวม ยังมีส่วนช่วยให้ขอบตาหายคล้ำจากการพักผ่อนไม่เพียงพออีกด้วย
6 กลิ่นหอมผ่อนคลาย หลับสบายทุกค่ำคืน
เพราะระบบการรับรู้กลิ่นนั้นเชื่อมต่อโดยตรงกับสมองและยังมีการส่งสัญญาณอันรวดเร็ว กลิ่นจึงมีผลอย่างมากต่ออารมณ์ความรู้สึก และเป็นที่นิยมในการบำบัด วันนี้ซีลี่จึงขอแนะนำกลิ่น 6 ชนิดที่จะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายมาฝากค่ะ
1. Lavender
ผลการวิจัยพบว่า น้ำมันดอก Lavender ส่งผลโดยตรงต่อระบบประสาท โดยทำให้ความดัน อัตราการเต้นของหัวใจ และอุณหภูมิผิวหนังลดลง รวมถึงเปลี่ยนคลื่นสมองให้เข้าสู่สภาวะผ่อนคลาย จึงช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น และยังใช้ในการรักษาอาการซึมเศร้าหลังคลอดลูกด้วย
2. Yuzu Orange
แม้จะเป็นผลไม้ตระกูลเปรี้ยวที่มักจะช่วยให้ตื่นตัว แต่จากผลการวิจัยพบว่า กลิ่น Yuzu Orange สามารถทำให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง และช่วยลดภาวะอารมณ์แปรปรวน ในประเทศญี่ปุ่นมีการใช้ผลส้มยูสุลอยในอ่างอาบน้ำเพื่อให้มีกลิ่นหอมผ่อนคลายด้วยค่ะ
3. Citrus Bergamot
น้ำมันหอมระเหย Citrus Bergamot ถูกใช้อย่างแพร่หลายในตำรับยาอิตาลี และยังมีผลการวิจัยรับรองว่าสามารถทำให้หัวใจเต้นช้าลงและลดความดันโลหิต นอกจากนี้ยังใช้ร่วมกับยาชนิดอื่นเพื่อลดอาการเจ็บปวดเรื้อรังอีกด้วย
4. Ylang Ylang (กระดังงา)
กลิ่นหอมหวานของน้ำมันสกัดจากดอกกระดังงา หรือ Ylang Ylang สามารถช่วยให้ระบบประสาทรู้สึกผ่อนคลาย โดยเฉพาะเมื่อรู้สึกโกรธ กลิ่นดอกกระดังงาจะช่วยลดความดันและอัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้อารมณ์ดีและสงบลงได้
5. Sandalwood (ไม้จันทน์)
น้ำมันจากไม้จันทน์หรือ Sandalwood ส่งผลโดยตรงกับสมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม ช่วยให้รู้สึกปลอดโปร่ง มีสมาธิ และอารมณ์ดีขึ้น เหมาะสำหรับการผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้ายามสิ้นวัน
6. Frankincense (กำยาน)
กลิ่นกำยาน หรือ Frankincense มีผลช่วยลดความกังวลและความเครียด ทำให้จิตใจสงบ จึงเป็นสาเหตุที่กำยานเป็นที่นิยมใช้ในวัด และการทำสมาธิ
1. Lavender
ผลการวิจัยพบว่า น้ำมันดอก Lavender ส่งผลโดยตรงต่อระบบประสาท โดยทำให้ความดัน อัตราการเต้นของหัวใจ และอุณหภูมิผิวหนังลดลง รวมถึงเปลี่ยนคลื่นสมองให้เข้าสู่สภาวะผ่อนคลาย จึงช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น และยังใช้ในการรักษาอาการซึมเศร้าหลังคลอดลูกด้วย
2. Yuzu Orange
แม้จะเป็นผลไม้ตระกูลเปรี้ยวที่มักจะช่วยให้ตื่นตัว แต่จากผลการวิจัยพบว่า กลิ่น Yuzu Orange สามารถทำให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง และช่วยลดภาวะอารมณ์แปรปรวน ในประเทศญี่ปุ่นมีการใช้ผลส้มยูสุลอยในอ่างอาบน้ำเพื่อให้มีกลิ่นหอมผ่อนคลายด้วยค่ะ
3. Citrus Bergamot
น้ำมันหอมระเหย Citrus Bergamot ถูกใช้อย่างแพร่หลายในตำรับยาอิตาลี และยังมีผลการวิจัยรับรองว่าสามารถทำให้หัวใจเต้นช้าลงและลดความดันโลหิต นอกจากนี้ยังใช้ร่วมกับยาชนิดอื่นเพื่อลดอาการเจ็บปวดเรื้อรังอีกด้วย
4. Ylang Ylang (กระดังงา)
กลิ่นหอมหวานของน้ำมันสกัดจากดอกกระดังงา หรือ Ylang Ylang สามารถช่วยให้ระบบประสาทรู้สึกผ่อนคลาย โดยเฉพาะเมื่อรู้สึกโกรธ กลิ่นดอกกระดังงาจะช่วยลดความดันและอัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้อารมณ์ดีและสงบลงได้
5. Sandalwood (ไม้จันทน์)
น้ำมันจากไม้จันทน์หรือ Sandalwood ส่งผลโดยตรงกับสมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม ช่วยให้รู้สึกปลอดโปร่ง มีสมาธิ และอารมณ์ดีขึ้น เหมาะสำหรับการผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้ายามสิ้นวัน
6. Frankincense (กำยาน)
กลิ่นกำยาน หรือ Frankincense มีผลช่วยลดความกังวลและความเครียด ทำให้จิตใจสงบ จึงเป็นสาเหตุที่กำยานเป็นที่นิยมใช้ในวัด และการทำสมาธิ